
ภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่มี tense คือมีการผันคำในประโยคตามเวลาของเหตุการณ์ที่พูดถึง แตกต่างจากภาษาไทยที่ไม่เปลี่ยนตัวกิริยาหลักของประโยค แต่ใช้ลักษณะของการเพิ่มคำเข้าไปหรือเปลี่ยนคำวิเศษณ์ขยายเพียงอย่างเดียว เพื่อบอกรายละเอียดของเวลาที่เหตุการณ์ที่กล่าวถึงนั้นเกิดขึ้น ยกตัวอย่างเช่น
I go to school today I went to school yesterday
ฉันไปโรงเรียนวันนี้ ฉันไปโรงเรียนเมื่อวาน
ถ้าสังเกตจากตัวเอียงในประโยคตัวอย่างจะเห็นความแตกต่างอย่างชัดเจน คือเมื่อพูดถึงอดีตและปัจจุบัน ภาษาไทยยังคงรูปคำเดิม แต่ภาษาอังกฤษมีการเปลี่ยนรูปของกิริยาไป
จากปรากฏการณ์นี้เอง ทำให้คำกิริยาภาษาอังกฤษ หรือ verb มีการผันแบ่งออกเป็น 3 ลักษณะ หรือเรียกว่า กิริยา 3 ช่อง โดยการผันรูปของกิริยาจากช่อง 1 ไปเป็นช่อง 2 และ 3 แบ่งออกเป็นสองประเภทใหญ่ๆ และมีหลายลักษณะดังต่อไปนี้
Regular verb กริยาผันด้วยการมีรูป –ed ต่อท้าย (ผันแบบปกติ)
1. เติม –edท้ายกริยาช่อง 1
เช่น walk walked walked = ช่วยเหลือ
talk talked talked = พูดคุย
2. ส่วนกริยาที่ลงท้ายด้วย e เติม –d ไปท้ายกริยาช่อง 1 (ลงท้ายด้วยed)
เช่น close closed closed = ปิด
dance danced danced = เต้น
3. กริยาที่ลงท้ายด้วย y ให้เปลี่ยน y เป็น I แล้วเติม –ed
เช่น study studied studied = เรียนหนังสือ
marry married married = แต่งงาน
*ยกเว้นกริยาที่หน้า y เป็นสระ (a e i o u) สามารถเติม –edต่อท้ายได้เลย
เช่น play played played = เล่น
spray sprayed sprayed = ฉีดพ่น
4. กริยาที่มีพยางค์เดียว และมีสระ (a e i o u) เพียงตัวเดียว ให้ซ้ำตัวอักษรท้ายสุดแล้วเติม –ed
เช่น stop stopped stopped = หยุด
mob mobbed mobbed = ถู
5. กริยาที่ลงท้ายด้วยอักษร l ให้ซ้ำตัว l อีกตัวแล้วเติม –ed
เช่น travel travelled travelled = เดินทาง
Irregular verb กริยาผันไม่ปกติ (ผันตามใจฉัน) *ต้องพยายามจำ
1. กริยาบางตัวเปลี่ยนรูปไปเลย
เช่น run ran run = วิ่ง
buy bought bought = ซื้อ
sing sang sung = ร้องเพลง
write wrote written = เขียน
feel felt felt = ยืน
fall fell fallen = ร่วงหล่น
2. กริยาบางตัวกลับไม่เปลี่ยนรูปเลยทั้ง 3 ช่อง
เช่น put put put = วาง
cut cut cut = ตัด
let let let = ปล่อย
set set set = จัดวาง จัดเตรียม
การออกเสียง -ed มี 3 กรณีด้วยกัน คือ
การออกเสียงเมื่อกริยานั้นเติม -ed
1. ลงท้ายด้วยเสียงก้อง (b, g, h, j, l, m, n, r, v, w, y, z) เมื่อเติม –ed ออกเสียงเป็น ด
opened ออกเสียงว่า โอเปินดฺ
trimmed ออกเสียงว่า ทริมดฺ
2. ลงท้ายด้วยเสียงไม่ก้อง (c, f, k, p, s, x, ch, sh) เมื่อเติม –ed ออกเป็น ท
walked ออกเสียงว่า วอคฺทฺ
talked ออกเสียงว่า ทอคฺทฺ
jumped ออกเสียงว่า จัมพฺทฺ
3. ลงท้ายด้วย T หรือ D เมื่อเติม -ed ออกเสียงเป็น อด หรือ เอ็ด
wanted ออกเสียงว่า วอนถิด / วอนเถ็ด
needed ออกเสียงว่า นีดิด / นีดเด็ด
decided ออกเสียงว่า เดอะซายดิด / เดอะซายเด็ด
invited ออกเสียงว่า อินไฟถิด / อินไฟเถ็ด
Tip จากผู้เขียน กริยาช่องที่ 2 ใช้กับ past tense
กริยาช่องที่ 3 ใช้กับ perfect tense และ passive voice
กริยาช่องที่ 3 ใช้กับ perfect tense และ passive voice
เราควรใช้กิริยา 3 ช่องให้ถูกต้องตาม tense ของประโยค แรกๆ อาจจะต้องอาศัยการจำเป็นหลัก แต่พอใช้ไปเรื่อยๆจนชินแล้วก็ไม่ใช่เรื่องยากเลย
อ้างอิง
http://www.ecc.ac.th/knowledge_detail.php?id=6
https://www.youtube.com/watch?list=UU0ygyzV6eSqfTpI-nQeBALw&v=qZqlpCrbdic
http://www.ajarnadam.tv/blog/-ed
https://www.google.co.th/url?sa=i&source=images&cd=&cad=rja&uact=8&ved=2ahUKEwiqyI7Ox6fgAhVFbn0KHfVLBcQQjRx6BAgBEAU&url=https%3A%2F%2Fenglish.olympiadsuccess.com%2Fclass-4-verbs&psig=AOvVaw0NsO7pFca8KBSyahP-bWKB&ust=1549558002228248
https://www.youtube.com/watch?list=UU0ygyzV6eSqfTpI-nQeBALw&v=qZqlpCrbdic
http://www.ajarnadam.tv/blog/-ed
https://www.google.co.th/url?sa=i&source=images&cd=&cad=rja&uact=8&ved=2ahUKEwiqyI7Ox6fgAhVFbn0KHfVLBcQQjRx6BAgBEAU&url=https%3A%2F%2Fenglish.olympiadsuccess.com%2Fclass-4-verbs&psig=AOvVaw0NsO7pFca8KBSyahP-bWKB&ust=1549558002228248
No comments:
Post a Comment